น้ำมันปลา (Fish Oil)
น้ำมันปลา หรือ ฟิชออยล์ (Fish Oil) เป็นไขมันที่สกัดมาจากส่วนของเนื้อปลา หนัง หัว และส่วนของห่างปลาทะเลน้ำลึก โดยส่วนใหญ่จะเป็นปลาในเขตหนาว จึงมีปริมาณสารที่มากกว่าปลาทั่วไป ซึ่งในน้ำมันปลานี้จะมีกรดไขมันอยู่หลายชนิดโดยแต่ชนิดก็สำคัญ และได้มีการนำมาใช้ในทางการแพทย์ คือ กรดไขมันของกลุ่มโอเมก้า-3 และกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-6 ส่วนกลุ่มที่สำคัญที่สุด คือ กลุ่มกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 เพราะเนื่องจากมีกรดสำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นมาเองได้ และจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น และปลาที่มีไขมันสูงจะมีหลายชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นปลานักล่าตั้งแต่ขนาดกลาง-ใหญ่ เช่น ปลาทูน่าครีบยาว ปลาฉลาม และอาจมีการสะสมสารพิษที่พบได้ในน้ำทะเล โดยสารปรอทปนเปื้อนจากเหมืองต่างๆ เลยทำให้ไม่เหมาะแก่การนำมาสกัดทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่จะนิยมเลือกปลาขนาดเล็กที่มีความมัน จากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่มีสารปนเปื้อนใดในน้ำ และยังมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ
น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil)
น้ำมันตับปลาจะแตกต่างจากน้ำมันปลา เพราะส่วนใหญ่มาจากตับปลาทะเล คือ ปลาค็อด ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินเอ และ วิตามินดี อีกทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยเหมาะกับผู้ที่ขาดสารอาหารทั้งสอง ส่วนข้อที่ควรระวัง คือ ตับปลานั้นมีคอเลสเตอรอลสูง จึงควรที่จะทานในปริมาณจำกัด และวิตามินทั้งสองก็สามารถหาอาหารอย่างอื่นมาทดแทนได้ โดยจะต่างจากน้ำมันปลา ดังนั้นจึงเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน และยังมีคอเลสเตอรอลต่ำได้อีกด้วย
ประโยชน์ของน้ำมันปลา
ร่างกายของมนุษย์จะไม่สามารถผลิตโอเมก้า-3 ได้ จึงต้องหาอาหารมาเสริม แต่อาหารส่วนใหญ่มีสารเหล่านี้ต่ำ และแตกต่างจากที่ได้จากปลา ซึ่งกรดไขมันโอเมก้า-3, EPA และ DHA มีประโยชน์ดังนี้
1.ป้องกันโรคหัวใจ
ช่วยลดความหนืดของกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี ยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้สะดวกมากขึ้น
2.ลดไขมันในเลือด
ช่วยลดการสร้างไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับ และส่งผลให้ลดโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดให้ลดลง จึงช่วยเรื่องลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และหลอดเลือด
3.ลดความดันโลหิตสูง
ช่วยลดความหนืดของเลือด และลดการตอบสนองของหลอดเลือดต่อสารที่เพิ่มแรงดันเลือดในร่างกายของเรา ดังนั้นจึงช่วยลดความดันโลหิต
4.ลดอาการปวดอักเสบตามข้อ
ได้มีสารตั้งต้นในการสร้างพรอสตาแกลนดินอี 3 โดยเป็นฮอร์โมนที่จะช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ โดยเฉพาะโรคของการปวดข้อรูมาตอยด์
5.บำรุงสายตาและบำรุงสมอง
เป็นส่วนประกอบสำคัญในเซลล์สมองและเนื้อเยื่อชั้นในสุดของดวงตา (เรตินา) แล้วยังช่วยบำรุงสมอง และยังมีประโยชน์อื่นๆอีกด้วย
6.ลดอาการปวดไมเกรน
กรดไขมันในน้ำมันปลามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพรอสตาแกลนดิน และลดการหลั่งสารซีโลโทนิน ทำให้มีการเกาะตัวของหลอดเลือดลดลง ในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมองน้ำมันปลา จึงอาจช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้ และงานวิจัยบางชิ้นก็ระบุว่าน้ำมันปลาไม่ได้ช่วยลดความถี่ของอาการปวดไมเกรนได้แต่อย่างใด
7.ลดอาการปวดประจำเดือน
การรับประทานน้ำมันปลาเพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับวิตามินบี 12 โดยจะสามารถลดระยะเวลาเจ็บปวด อีกทั้งยังลดความจำเป็นในการใช้ยาแก้ปวดในช่วงที่ปวดประจำเดือนของผู้หญิงได้นั้นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้างจากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ทาง avilathailand หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้รับความรู้ไม่มากก็น้อย และสำหรับผู้ที่กำลังมองหาอาหารเสริมน้ำมันปลา (Fish Oil) ไปรับประทาน อาจทำให้ผู้อ่านได้ตัดสินได้มากขึ้นนะคะ
สามารถอ่านบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้ที่